ufabet

6 ชัยชนะสุดเดือดใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ในช่วงที่ ยูโรเปี้ยน คัพ เปลี่ยนโครงสร้างใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 1992 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทัพของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือทีมที่ทุกสโมสรในยุโรปต่างก็อยากเผชิญหน้าด้วย เพราะด้วยความแข็งแกร่ง บวกกับหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ทำให้ทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด, เอซี มิลาน, บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค ต้องหนักใจทุกครั้งเมื่อเจอ ครั้งนี้เทพแมนยูจะพาทุกคนย้อนรำลึก 6 ชัยชนะสุดยิ่งใหญ่ของ “ปีศาจแดง” ในยุคยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

6. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 – 0 เอซี มิลาน รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2009/10

เดวิด เบ็คแฮม กลับมาเยือนถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้งในฐานะศัตรูของแมนฯ ยูไนเต็ด แถมทัพปีศาจแดงดำชุดนี้ ยังมากับเพชฌฆาตที่นำทัพมาโดย อันเดรีย ปิร์โล และ โรนัลดินโญ่ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ได้

ทัพ “ปีศาจแดง” บุกไปเอาชัยชนะในถิ่น ซาน ซิโร่ ได้ด้วยสกอร์ 3-2 ในเกมเลกแรก และในเกมเลกสองนี้ ลูกทีมของเฟอร์กี้ เล่นได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ประเดิมด้วย เวย์น รูนี่ย์ ที่ซัดเบิ้ลให้ทีมออกนำไปก่อน ตามมาด้วยการหลุดเข้าไปซัดประตูที่ 3 ให้กับทีมของผู้เล่นจอมขยัน ปาร์ค จี ซอง และประตูปิดเกมจาก ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ ที่โหม่งประตูย้ำชัย พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทยานเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะไปแพ้ตกรอบให้ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยกฎอเวย์โกลอย่างน่าเจ็บใจ


5. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 1 – 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2018/19

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโคตรทีมจากกรุงปารีสในยุคหลังๆ ถือเป็นสโมสรที่น่ากลัวเกรงขามไม่แพ้ เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า เพราะเป็นทีมที่ร่วมเหล่าสตาร์ดัง และผู้เล่นฝีเท้าดีไว้มากมาย แมนยูภายใต้การคุมทัพของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่เข้ามารับหน้าที่เป็นกุนซือขัดตาทัพ ในช่วงเดือนธันวาคม 2018 ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่พวกเขาดันมาแพ้เกมเลกแรกให้กับ เปแอสเช 2-0 ในถิ่นตัวเอง อย่างไรก็ตาม ปีศาจแดงก็พลิกกลับมาพิชิตทีมยักษ์ใหญ่จากลีกเอิงได้สำเร็จ และทำให้กุนซือชาวนอร์เวย์ ได้เซ็นสัญญาถาวรอยู่ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทันที

การขาด ปอล ป็อกบา ทำให้ทุกคนต่างคิดว่าเส้นทางรอบต่อไปของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งไม่เคยมีทีมไหนพลิกกลับมาเข้ารอบได้เลย หากแพ้ในบ้านเกมแรกด้วยสกอร์ห่างกัน 2 ประตู ในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ โรเมลู ลูกากู มาสังหาร 2 ประตูในครึ่งแรก และ มาร์คัส แรชฟอร์ด มากดจุดโทษตรอกฝาโรงอีกประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ พาปีศาจแดงพลิกกลับมาเอาเข้ารอบได้ โดยนี่เป็นหนึ่งในการคัมแบ็คระดับประวัติศาสตร์ของสโมสร


4. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 0 บาร์เซโลน่า รอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2007/08

มิดฟิลด์ลูกรักอย่าง พอล สโคลส์ พลาดการลงเล่นเกมนัดชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1998/99 แต่เกมนี้เขากับมาในตำแหน่งตัวจริง และทำประตูสุดสวยช่วยทีมผ่านเข้ารอบไปชิงกับเชลซี นัดนี้แมนยูเปลี่ยนแผนส่ง 3 ผสานอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้เวนย์ รูนี่ย์ และ คาร์ลอส เตเบซ ลงสนามพร้อมกันเพื่อใช้สวนกลับาร์ซ่าโดยเฉพาะ แต่การปรับแผนเล็กน้อยครั้งนี้ กลับกลายเป็นการถือกำเนิดของหนึ่งใน 3 ผสานของ “ปีศาจแดง”

เกมเลกแรกที่สนามคัมป์ นู  แมนยูบุกไปยันเสมอมาได้ 0-0 จึงทำให้ทั้งสองทีมต้องมาชี้เป็นชี้ตายกันในโอลด์ แทรฟฟอร์ด เริ่มเกมเลกสองมาเพียง 3 นาที เจ้าบ้านได้จุดโทษ แต่ โรนัลโด้ ดันมายิงพลาดปล่อยโอกาสทองไป แต่เหมือนจะโชคจะเข้า ในนาทีที่ 14 พอล สโคลส์ ก็จัดการสังหารระยะไกลกว่า 30 หลา บอลพุ่งเข้าไปเสียบสามเหลี่ยมของตาข่ายอย่างหมดจด ส่งยอดทีมจากประเทศสเปนกลับบ้านไป และลูกทีมของ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ก็สามารถผงาดไปคว้าแชมป์รายการนี้ได้ ด้วยการดวลจุดโทษกับ เชลซี


3. ยูเวนตุส 2 – 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 1998/99

เกมเลกแรกในโรงละครแห่งความฝัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอกับ ยุเวนตุส 1-1 และเกมเลกสอง เริ่มมาได้แค่เพียง 11 นาที ก็เป็นฝันร้ายของปีศาจแดง พวกเขาต้องตามหลังยอดทีมจากตูรินอยู่ 2-1 แต่ไม่นานเกินใจ รอย คีน ก็มาโหม่งประตูปลุกความหวังผู้เล่น เรด อาร์มี่ ขึ้นมาได้ และหลังจากนั้น ดไวท์ ยอร์ค และ แอนดี้ โคล ก็โชว์การผสานงานยิงประตูตีเสมอให้กับทีม ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาถึงโดนยกให้เป็น คู่หูระดับตำนานของโลกฟุตบอล

ครึ่งหลังยอดทีมจากอิตาลี พยายามโหมกระหน่ำบุกเป็นพายุใส่ผู้มาเยือน แต่ในจังหวะสวนกลับ ดไวท์ ยอร์ค โชว์การเลี้ยงหลบ 2 ผู้เล่นกองหลัง และ 1 ผู้รักษาประตูของทีมม้าลาย ก่อนที่บอลจะไหลมาเข้าทาง แอนดี้ โคล ยิงเข้าไปย้ำชัยให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด ผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศกับ บาร์เยิร์น มิวนิค


2. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 – 3 เรอัล มาดริด รอบ 8 ทีมสุดท้าย 2002/03

เกมนี้ถือเป็นนัดหยุดโลก ที่สองยักษ์ใหญ่แห่งยุคเดินหน้าแลกหมัดใส่กันไม่ยั้ง เกมในเลกแรกปีศาจแดง บุกไปพ่ายให้กับ ราชันชุดชาว 3-1 ซึ่งดูแล้วมันหมดโอกาสที่จะพลิกเอาชนะ แต่เมื่อเกมเลกสองเริ่มขึ้น ลูกทีมของเฟอร์กี้พิสูจน์ตัวเองแล้ว ว่าพวกเขาไม่ยอมแพ้ ประตูในนาที่ 43 ของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ปลุกให้เพื่อนๆ หึดสู้มากขึ้น และหลังจากนั้นโชคก็เข้าข้างเจ้าถิ่น เมื่อ อิบัน เอลเกรา ของจ้าวยุโรป เผลอทำบอลเข้าประตูตัวเอง และ เดวิด เบ็คแฮม มาทำได้ 2 ประตูในช่วงครึ่งหลังสร้างความหวังให้กับทีม แต่อย่างไรก็ตามฝันก็โดนดับด้วยฝีเท้าอันยอดเยี่ยมดาวยิงบราซิลอย่าง โรนัลโด้ และสกอร์ร่วมก็จบลงที่ 3-6

แม้จะไม่ได้ไปต่อ แต่ชัยชนะเกมนี้ก็แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณนักสู้ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และการพ่ายแพ้เกมนี้ก็ทำให้ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ตัดสินใจเริ่มปรับปรุงทีมใหม่ ก่อนที่จะนำไปสู่การคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2007/08


1. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 – 1 บาเยิร์น มิวนิค รอบชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 1998/99

เชื่อเลยว่าไม่มีแมตช์ไหน ที่สาวกปีศาจแดงจะปลาบปลื้มเท่าเกมที่สนาม คัมป์ นู ปี 1999 นัดนี้คือหนึ่งในเกมประวัติศาสตร์ของนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้ทัพปีศาจแดงต้องขับเคี่ยวแชมป์ลีกกันเหนื่อยกันจนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล และในนัดชิงคืนวันนั้น ลูกทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เล่นได้อย่างน่าผิดหวัง หลังจากที่พวกเขาไม่สามารถใช้งาน รอย คีน และ พอล สโคลส์ ที่โดนเหลืองครบโควต้าในเกมนัดรองชนะเลิศที่พบกับ ยูเวนตุส

ไรอัน กิ๊กส์นิกกี้ บัตต์เดวิด เบ็คแฮม และ เจสเปอร์ บรอมควิสต์ ไม่ใช่ชุดกองกลางที่เฟอร์กี้ คิดจะส่งลงเกมนี้แน่นอน และแมนยูยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุดเลวร้าย จากการที่โดนยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม ก่อนหมดเวลาประตูสู่การสร้างปาฏิหาริย์เกือบจะโดนปิดลงเมื่อ คาร์สเท่น ยานเคอร์ ยิงลูกจักยานอากาศจ่อๆ ชนิด ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ได้แต่ยืนมอง แต่บอลเจ้ากรรมดันพุ่งไปชนคานสนั่น และแน่นอนว่าเมื่อไม่ได้ประตูหนีห่างออกไป ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกมแฟนบอลทุกคนต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น.


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น