ufabet

เปิดประวัติศาสตร์ความสำเร็จ และความเกลียดชังของคู่แค้น สีแดงแห่งเกาะอังกฤษ


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล นั้นเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในโลกฟุตบอลว่าสองสโมสรถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนลีกแดนผู้ดี และยังเป็นปฏิปักษ์กันมาอย่างยาวนานถึง 100 ปี วันนี้ lnwmanu จึงจะพาขึ้นไปเปิดสงครามลูกหนังของ Red Fight หรือ ศึกแดงเดือด ว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างไร และทวีความรุนแรงในช่วงใดบ้าง??

ต้องทำความเข้าใจกันก่อนกับคำว่า ศึกแดงเดือด เป็นคำที่ใช้กันในประเทศไทย เมื่อสองสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษมาพบกันในแต่ละครั้ง ซึ่งคำว่า แดงเดือด ถูกบัญญัติโดย คุณกิตติกร อุดมผล ผู้บรรยายกีฬาชื่อดังของประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของรอยร้าวของทั้งสองสโมสร ต้องย้อนกลับไป 120 ปีก่อน เมืองแมนเชสเตอร์ในยุคนั้น ถือเป็นหนึ่งเมืองที่มีความสำคัญด้านอุตสาหกรรมอันดับต้นของโลก ในเรื่องของสิ่งทอ เช่น ฝ้ายดิบ ส่วนทางเมืองลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าสำคัญของเกาะอังกฤษ ซึ่งการค้าขายทางเรือทั้งหมดต้องมาเทียบท่าที่เมอร์ซีย์ไซด์เท่านั้น

แต่เมื่อปี ค.ศ. 1870 เศรษฐกิจในเกาะอังกฤษเริ่มตกต่ำ ซึ่งเมืองแมนเชสเตอร์ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้เมืองลิเวอร์พูลเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้ชาวเมืองแมนเชสเตอร์เริ่มเดือดร้อน และสภาเมืองแมนเชสเตอร์จึงตัดสินใจขุดคลองตั้งแต่แม่น้ำเมอร์ซีย์ เข้ามายังเมืองเองในปี ค.ศ. 1894

จึงเป็นเหตุให้เรือที่ต้องการขนฝ้ายมาจอดที่เมืองแมนเชสเตอร์ได้เลยโดยตรง และไม่ต้องไปจอดที่เมืองลิเวอร์พูลอีกต่อไป นั้นจึงส่งผลให้เมืองลิเวอร์พูลต้องขาดรายได้มหาศาล และทำให้ชาวเมืองต้องตกงานกันเป็นจำนวนมาก นี้จึงเป็นเหตุที่สร้างรอยร้าวเล็กๆ ระหว่างชาวเมืองแมนคูเนียน และชาวเมืองลิเวอร์พัดเลียน

โดยการบัพกันของชาวเมืองทั้งสอง เกิดขึ้นก่อนการขุดคลองจากเรื่องชาวลิเวอร์พัดเลียน มักจะดูถูกชาวแมนคูเนียน เสมอว่าเป็นไอแรงงาน เพราะชาวเมืองแมนเชสเตอร์ส่วนมากทำงานอุตสาหกรรม แตกต่างจากคนเมืองลิเวอร์พูล ที่แต่งตัวดูดีทำงานเป็นนักบัญชี นายหน้า หรือเกี่ยวกับการขนส่ง

แต่เมื่อเมืองแมนเชสเตอร์ขุดคลองเอง และเจริญกว่า ก็ได้ทีเย้ยหยันคืนทันที และใส่ไม่ยั้งชาวลิเวอร์พัดเลียนที่ตกงาน และอดอยาก ว่าพวกยากจนที่ไม่มีเงินซื้อข้าวจนต้องกินหนูสกปรก จึงเป็นเหตุที่แมนคูเนียนชอบร้องเพลงล้อสเก๊าเซอร์ว่า กินหนูสกปรก ซึ่งในแดนผู้ดีการกินหนูนั่นถือเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีนัก

ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลอย่างเป็นทางการ ทั้งสองเมืองยังคงมีอิทธิพลมากที่สุดในเกาะอังกฤษ โดยจุดเริ่มต้นในครั้งแรกของทั้งสองเกิดขึ้นในนัดเพลย์ออฟปี ค.ศ. 1984 ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวตัน ฮีธ 2-0 ซึ่งสโมสรลิเวอร์พูล ในเวลานั้น พึงแยกตัวจากเอฟเวอร์ตัน มาก่อตั้งสโมสรใหม่ ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยังใช้ชื่อว่า นิวตัน ฮีธ

กระทั่งขึ้นศตวรรษที่ 19 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นตัวแทนของเมืองเชสเตอร์ ที่ประสบความสำเร็จ ส่วน ลิเวอร์พูล ถือเป็นตัวแทนที่ประสบความเร็จที่สุดจากลุ่มแม่น้ำเมอร์ซีย์ ทั้งสองสโมสรจึงถือเป็นคู่ปรับที่เกลียดกันไปโดยปริยาย

ในยุค 60 บนสงครามแห่งเกมฟุตบอลทั้งสองทีมก้าวมาเป็นมหาอำนาจอย่างสิ้นเชิง โดยทั้งสองสโมสรผลัดกันได้แชมป์ลีกปีต่อปี ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นการไล่บี้กันที่มันสุดๆ ลิเวอร์พูลจากการนำทัพของบิลล์ แชงคลีย์ ต้องขับเขี่ยวความเป็นหนึ่งกับ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ กุนซือของ ปีศาจแดง ก่อนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะผงาดไปคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพก่อน จึงทำให้ชาวแมนคูเนียน และชาวลิเวอร์พัดเลียน คอยอิจฉากัน และมีความเกลียดชังกันมากขึ้นไปอีก

แต่ทว่า 1 ปีต่อมาหลังจากได้แชมป์ยุโรป ปีศาจแดงก็ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกอีกเลย และต้องตกเป็นยักษ์หลับอยู่ใต้ล่มเงาของลิเวอร์พูล จากการวางมือของหัวเรือใหญ่อย่าง เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความตกต่ำอย่างหน้าใจหาย สวนทางกลับลิเวอร์พูล ในยุค 70-80 ที่สามารถเถลิงบัลลังก์แชมป์เป็นเบอร์ 1 ของเกาะอังกฤษอย่างแท้จริง จากการคว้าแชมป์ลีก 11 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ 4 สมัย

จนกระทั่ง ปลายยุค 80 ไม่มีใครเอ๊ะใจมาก่อน ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จะมาถึง เมื่อชายนาม อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดินเข้ามาสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และมาถึงฤดูกาล 1992/93 ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างลีกใหม่ จากปัญหาต่างๆ ในชื่อดิวิชั่น 1 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก และในปีนั้นเอง ปีศาจแดง ก็สามารถกลับมาเถลิงบัลลังก์แชมป์ลีกได้ทันที สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานกว่า 3 ทศววษ

และนั้นคือการเปลี่ยนแปลงขั้วมหาอำนาจบนเกาะอังกฤษ เพราะตั้งแต่การคุมทัพของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตั้งแต่ ยุค 90 จนถึงการอำลาในปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นถือเป็นเบอร์หนึ่งของแดนผู้ดีอย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันปีศาจแดงสามารถครองแชมป์ลีกสูงสุดถึง 20 สมัย นำคู่แค้นที่เป็นยักษ์หลับอย่างลิเวอร์พูลอยู่ 2 สมัย

แม้จะมีแชมป์อื่นๆ มาให้สาวกเดอะค็อปได้ชื่นใจกันบ้าง แต่คงไม่มีแชมป์ไหนที่จะทำให้เหล่าสาวกปราบปลื้มไปกว่าแชมป์ลีกสูงสุดแน่นอน และแล้วการสลับขั้วครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง จากการวางมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อฤดูกาล 2012/13 ปีศาจแดงในยุคนี้ยังไม่สามารถครองแชมป์ลีกสูงสุดได้เลย สวนทางกลับลิเวอร์พูลที่ในฤดูกาล 2019/20 พวกเขากำลังจะเถลิงบัลลงค์แชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้ง และสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานกว่า 30 ปี

จากเหตุการณ์ต่างๆ ชาวเมืองทั้งสองเมืองจะคอยบลั๊ฟกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลงล้อเลียนกัน ด้วยคำพูด หรือกระทั่งรุนแรงไปถึงการใช้ความรุนแรง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ก็จะถูกปลูกฝั่งไปสู่เด็กรุ่นใหม่เสมอ และไม่เพียงแค่คนจากเมืองสองเมืองที่เกลียดกัน แต่เรื่องบลั๊ฟกันของแฟนบอลทั้งสองทีมนั่นกระจายไปทั่วโลก ไม่เว้นที่ประเทศไทย


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น