เมื่อพูดถึงสนามฟุตบอลที่ใหญ่เบอร์ต้นๆ บนเกาะอังกฤษ และมีสถาปัตยกรรมทางสเตเดี้ยม แฟนบอลหลายคนคงรู้กันดี และนึกถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด (old trafford) เป็นอันดับแรกๆ แต่คุณรู้ไหมว่าสนามอันเกรียงไกรแห่งนี้ผ่านเรื่องราว และอุปสรรคอะไรมาบ้าง วันนี้ lnwmanu จึงจะพาคุณย้อนไปพบกับประวัติอันยาวนานกว่า 1 ศตวรรษ ของโรงละครแห่งความฝัน หรือในชื่อภาษาอังกฤษที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักกันดี Theatre of Dream
สนามนอร์ท โร้ด สนามเหย้าของนิวตัน ฮีธ ระหว่างปี 1878 – 1893
เมื่อ 1 ศตวรรษก่อน ณ เมืองอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งบนประเทศอังกฤษ มีสโมสรฟุตบอลเล็กๆ ที่มีชื่อว่า นิวตัน ฮีธ โดยทีมเล็กๆ แห่งนี้ ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกในปี 1982 โดยมีสนามเหย้าของสโมสรชื่อว่า นอร์ท โร้ด ในมอนซอลล์ แต่ทว่าสภาพสนามนั้นมีแต่โคลน แถมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักฟุตบอลยังอยู่ห่างไกลถึงครึ่งไมล์ ประธานสโมสรในยุคนั้นอย่าง จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ จึงตัดสินใจย้ายสนามใหม่ไปที่ แบงค์ สตรีท ในย่านเคลย์ตัน ที่อยู่ไม่ห่างไกลมากนัก
แต่การย้ายมาที่สนาม แบงค์ สตรีท ดูเหมือนพื้นสนามจะย่ำแน่ไม่แตกแตกต่างกับตอนอยู่ที่สนาม นอร์ท โร้ด เท่าไหร่ แถมยังไม่สามารถขยายพื้นที่สนามได้อีก โดยเกมสุดท้ายในสนามแห่งนี้คือเกมที่ยูไนเต็ดเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปได้ 5–0 ก่อน จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ จะตัดสินใจอีกครั้งยอมควักเงินจำนวน 60,000 ปอนด์ เพื่อซื้อที่ดินแถว แทรฟฟอร์ด พาร์ค โดยพื้นที่นั้นอยู่แถวย่านช่านเมือง 5-6 ไมล์ทีเดียว
แผนที่สนามแบงค์ สตรีท ในปี ค.ศ. 1909
สโมสรเริ่มก่อตั้งสนามในปี ค.ศ. 1909 โดยใช้ชื่อสนามแห่งนี้ว่า โอลด์ แทรฟฟอร์ด และต่อมาสนามแห่งนี้ก็ถูกสร้างจนเสร็จในปี ค.ศ.1910 สามารถจุผู้ชมได้สูงถึง 80,000 คน โดยการเปิดประตูรับแฟนบอลครั้งแรกของสนามแห่งนี้ เป็นการพบกับคู่รักคู่แค้นอย่าง ลิเวอร์พูล โดยในนัดนั้นพวกเค้าพ่ายแพ้ไปฉิวเฉียดด้วยสกอร์ 4-3 จึงทำให้การเปิดใช้งานครั้งแรกเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำซักเท่าไหร่สำหรับแฟนบอล
ในช่วงแรกผู้ชมส่วนมากต้องยืนดูเกมการแข่งขัน แต่ก็ถือเป็นสนามแข่งที่ให้ความสะดวกสบายแฝงด้วยความหรูหรา โดยไม่มีสนามแห่งใดในยุคนั้นเทียบเท่าได้ ไม่ว่าจะในเรื่อง เก้าอี้พับเก็บได้ มีห้องเล่นเกม มีโรงยิม มีห้องจิบน้ำชา คนคอยบริการชี้ทางพาไปหาที่นั่ง แถมยังมีอ่างอาบน้ำขนาดยักษ์สำหรับนักฟุตเตะ
สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในยุคแรกเริ่ม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต้องพังทลายลงด้วยด้วยน้ำมือของกองทัพนาซี ที่มาทิ้งระเบิดใกล้กับนิคมอุสาหกรรมแทรฟฟอร์ด พาร์ค ซึ่งระเบิดหลายลูกตกลงที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทำให้อัฒจันทร์ สแตนด์ เมน ถูกทำลายย่อยยับ ไม่เว้นพื้นสนามก็ยังได้รับความเสียหายหนัก ทำให้ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่เปิดรองรับผู้ชมมากว่า 30 ปี ต้องห่างหายจากศึกลูกหนังไปเกือบ 1 ทศวรรษเลยทีเดียว
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางรัฐบาลอังกฤษ ได้มอบเงินให้กับสโมสรจำนวน 22,278 ปอนด์ เพื่อบูรณะสนามขึ้นใหม่ ระหว่างนั้นเองทีมปีศาจแดง ก็ต้องย้ายไปเล่นที่ เมน โร้ด สนามเหย้าของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นานถึง 4 ปี
โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 1949 ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2
แผนของสโมสรในการบูรณะสนามใหม่คือ ต้องการสนามที่สามารถรองรับผู้ชมจำนวน 120,000 คนให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่มีงบประมาณที่เพียงพอจะก่อสร้างได้ จึงทำได้เพียงแค่สร้าง เมน สแตนด์ ขึ้นใหม่แทนที่ของเดิมที่ถูกทำลาย
ในวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1949 ทีมปีศาจแดงได้กลับมายังถิ่นของพวกเขาอีกครั้ง ท่ามกลางฝูงชนกว่า 41,000 คน และสามารถเอาชนะ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ได้ในเกมนัดแรกของรอบ 10 ปีที่กลับมาเล่น ณ สนามแห่งนี้
ในปี ค.ศ. 1957 โรงละครแห่งความฝัน เริ่มสว่างไสวบนเวทีลูกหนังยุโรป เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สิทธิเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยุโรป และทีมแรกจากยุโรปที่มาเล่นภายใต้ไฟสนามใหม่ชั้นยอดที่นี่ คือ จ้าวยุโรปเรอัล มาดริด
ฟุตบอลโลกปี 1966 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
แฟนบอลรุ่นเก๋าคงยังจำได้ดีกับนักเตะชุด บัสบี้ เบบส์ และความรู้สึกที่เปียกปอนไปด้วยเม็ดฝนพร้อมๆ กับนักเตะในสนาม เพราะอัฒจันทร์ สเตรตฟอร์ด เอนด์ ชื่อดัง ไม่มีแม้หลังคาไว้บังแดดบังฝน จนกระทั้งใน ปี ค.ศ. 1959 สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ถูกปรับปรุงอีกครั้งให้มีทันสมัยมากขึ้น
ในช่วงยุค 60 อัฒจันทร์แบบแคนติลิเวอร์ (ต้นกำเนิดของอัฒจันทร์ในปัจจุบันที่ไม่ต้องใช้เสาค้ำยันให้บังทัศนียภาพในเกมการแข่งขัน) ถูกเปิดใช้ใน ปี ค.ศ. 1964 ด้วยงบประมาณในก่อสร้าง จำนวน 350,000 ปอนด์
รูปของสแตนด์ยืนในปี ค.ศ. 1991 ก่อนจะบูรณะมาเป็นสแตนด์นั่ง ในปี ค.ศ. 1992
ต่อมาในปี ค.ศ 1992 ประเพณีการยืนเชียร์เกมการแข่งขันฝั่ง สเตรตฟอร์ด เอนด์ ต้องมาถึงจุดสิ้นสุดลง เมื่อมันถูกบูรณะใหม่ และแทนที่ด้วยเก้าอี้นั่ง จนกระทั่งใน ปี ค.ศ. 1994 สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็กลายเป็นสนามที่นั่งทั้งหมดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ความจุสำหรับแฟนบอลกลับลดลง 43,000 ที่นั่ง ทำให้ความจุไม่เพียงพอต่อแฟนบอลที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ อัฒจันทร์ ฝั่ง นอร์ท สแตนด์ จึงถูกปรับปรุงใหม่ในฤดูกาล 1995/96 ถึงตอนนั้นความจุของสนามเท่ากับ 56,387 ที่นั่ง แต่ในยุคนั้นมีแฟนบอลจำนวนหนึ่ง ไม่พอใจเกี่ยวกับสแตนด์ใหม่ของสนาม เพราะมีความสูงถึง 48 เมตร
สแตนด์ ฝั่งนอร์ท ในปี ค.ศ. 1999 กับรูปปัจจุบันในปี ค.ศ. 2020
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสนามใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ กับค่าใช้จ่ายที่เสียไปทั้งสิ้น 28 ล้านปอนด์ โดยองค์กรควบคุมเกมฟุตบอลของยุโรป หรือยูฟ่า เรียกสนาม โอล์ด แทรฟฟอร์ด ว่าเป็นสนามที่ดีที่สุดในอังกฤษ และใช้รองรับเกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 96 ถึง 5 นัด เลยทีเดียว
แต่ด้วยความสำเร็จในช่วงทศวรรษที่ 90 จำนวนแฟนบอลที่ต้องการเข้าชมเกมมีเพิ่มมากขึ้นอีก ปลายฤดูกาล 1999/2000 อัฒจันทร์ฝั่ง อีสต์ สแตนด์ จึงต้องถูกปรับปรุงใหม่จนสามารถเพิ่มความจุผู้ชมเป็น 61,000 ที่นั่ง
หลังจากนั้นต้นฤดูกาล 2000/01 อัฒจันทร์ฝั่ง สเตรตฟอร์ด เอนด์ ก็ได้ถูกปรับปรุงใหม่เช่นกันโดยเพิ่มที่นั่งเป็น 2 ชั้น จนกระทั่งปัจจุบันความจุของสนามสุทธิคือ 68,217 ที่นั่ง มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลทั้งหมดในเกาะอังกฤษ
รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เอซี มิลาน พบ ยูเวนตุส ในฤดูกาล 2002/03
แผนการขยายความจุผู้ชมของสนาม โอล์ด แทรฟฟอร์ด ในอนาคตคือ 90,000 ที่นั่ง ที่มุมสนามทั้ง 2 มุม ของอัฒจันทร์ โดยที่อัฒจันทร์ฝั่ง เซาธ์ สแตนด์ นั้นจะขยายความจุไปได้ยากที่สุดเพราะอยู่ใกล้กับทางรถไฟ ซึ่งเคยมีผู้เสนอให้ขยายโดยสร้างอัฒจันทร์ชั้นที่ 3 คร่อมทางรถไฟ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมสมัยใหม่ และมีค่าใช่จ่ายที่สูงมาก
ปัจจุบัน โอล์ด แทรฟฟอร์ด เป็นสนามที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอังกฤษ ในแง่ของจำนวนแฟนบอลที่รองรับได้ ซึ่งมากถึง 76,212 คน เป็นรองแค่สนามกีฬาเวมบลีย์เพียงแห่งเดียว และใหญ่เป็นอันดับ 9 ของทวีปยุโรป นอกจากนั้นยังเป็นสนามในอังกฤษที่ยูฟ่ารับรองเป็นสนาม 5 ดาว
โดย โอล์ด แทรฟฟอร์ด มักจะถูกใช้เป็นสนามในการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ และเป็นสนามหลักในการแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ๆ ในช่วงที่สนามกีฬาเวมบลีย์อยู่ในระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้ยังได้เป็นสนามแข่งขันนัดสำคัญหลายอย่าง ไม่ว่าฟุตบอลโลก รายการแชมเปียนส์ลีก และยังถูกใช้แข่งขันฟุตบอลในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
ด้านหน้าของสนาม โอล์ด แทรฟฟอร์ด
ชื่อ โรงละครแห่งความฝัน ที่แฟนบอลคุ้นหู และผู้คนต่างพากันเรียก รู้ไหมคนแรกที่เรียกชื่อนี้คือ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
ตำนานของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเอง