ปีนี้เป็นอีก 1 ฤดูกาลที่น่าผิดหวังสำหรับทัพ “ปีศาจแดง” และสาวกทั่วโลก เพราะไม่เพียงแต่ไร้ถ้วยแชมป์ทุกรายการ แต่การไปลุยบอลยุโรปหูโตซีซั่นหน้าก็คงหมดหวังแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลงานของทีมชุดใหญ่จะน่าผิดหวังมาก แต่เหล่า “เร้ดส์ อาร์มี่” ชุดเยาวชนกำลังไปได้สวย เพราะเหล่านกน้อยชุดนี้เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ให้สาวกยังพอมีเรื่องให้ชื่นใจอยู่บ้าง
เอฟเอ ยูธ คัพ
ทีมปีศาจแดงรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี เพิ่งเอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 3-1 ในศึก เอฟเอ ยูธ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ช่วงดึกวันพุธตามเวลาประเทศไทยที่ผ่านมา ส่งผลให้ทีมคว้าแชมป์สมัยที่ 11 จากการเข้าชิงชนะเลิศ 15 ครั้ง และเป็นทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดของอังกฤษ โดยชุดล่าสุดที่ทำได้คือเมื่อปี 2011 ในยุคที่มี ปอล ป๊อกบา, เจสซี่ ลินการ์ด และ ราเวล มอร์ริสัน เป็นแกนหลัก
การแข่งขันรายการ เอฟเอ ยูธ คัพ เป็นหนึ่งในรายการฟุตบอลระดับเยาวชน ที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษจัดการแข่งขันขึ้น เพื่อวางรากฐานระบบฟุตบอลเยาวชนให้แข็งแกร่ง เพื่อที่สุดท้ายแต่ละสโมสรจะสามารถผลิตนักฟุตบอลดาวรุ่งที่ดีที่สุดขึ้นมา
หนึ่งในทีมที่สร้างชื่อระดับตำนานของรายการ เอฟเอ ยูธ คัพ ก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยคว้าแชมป์ไว้ในปี 1992 ได้แก่ ไรอัน กิ๊กส์, แกรี่ เนวิลล์, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์ และ ฟิล เนวิลล์
โดยศักดิ์ศรีแล้ว ถ้วย เอฟเอ ยูธ คัพ เป็นรายการระดับเยาวชนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดของอังกฤษ เพราะรายการนี้สามารถปั้นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ขึ้นมาประดับวงการได้อย่างมากมาย
เยาวชนหน้าจับตามอง
ในทีมชุดปัจจุบัน มีดาวรุ่งหลายรายที่น่าจับตามอง ยกตัวอย่างเช่น อเลฮานโดร การ์นาโช่ ดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์ ที่ทำไป 13 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ จาก 27 นัด รวมทุกรายการ ด้วยฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นดังกล่าว ทำให้ ลิโอเนล สคาโลนี่ ผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกหนึ่งคนที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คือ ชาร์ลี แม็คนีล ศูนย์หน้าชาวอังกฤษ ที่กดไป 13 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จากการลงสนามรวมทุกรายการ 26 นัด
นอกจากสองคนดังกล่าว ยังมีแข้งผีวัยละอ่อนอีกหลายคน เช่น ค็อบบี้ ไมนู, อิซัค แฮนแซ่น-แอร่อน รวมไปถึง โจ ฮูกิล ที่ทำผลงานได้ดี มีแววพัฒนาต่อไปได้อีกไกล
“คลาส ออฟ 22” ความหวังเหมือน “คลาส ออฟ 92”
ด้วยฟุตบอลสมัยใหม่ การจะดันเยาวชนขึ้นมาพร้อมกันนั่นเป็นเรื่องยาก เพราะมาตรฐานลีกในตอนนี้พัฒนาขึ้นเยอะมาก มีพวกทีมเงินถังทุ่มซื้อนักเตะระดับโลกมาอยู่ในทีมเดียวกันแทบทุกตำแหน่ง ทำให้การใช้เวลาเป็นเรื่องยากมากในฟุตบอลสมัยนี้ และปัจจุบันแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ดาวรุ่งขึ้นมาเฉิดฉายพร้อมกันหลายๆ คน
สมัย คลาส ออฟ 92 มาตรฐานลีก และมาตรฐานทีมต่างๆ แต้มเฉลี่ยต่อเกมไม่ได้สูงมาก มีแค่ 75-80 คะแนน ก็เพียงพอที่จะเป็นแชมป์ได้แล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสให้ดาวรุ่งได้แสดงฝีเท้ามาก เนื่องจากระดับการแข่งขันไม่สูงเท่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันนี้ ทีมที่จะเป็นแชมป์ควรมีแต้มอย่างต่ำ 90 คะแนน ซึ่งถ้าจะให้โอกาสเด็กพร้อมๆ กัน ยังไงก็ไม่แกร่งเพียงพอจะลุ้นแชมป์แน่นอน นอกจากเด็กชุดคลาส ออฟ 22 จะเก่งมากจริงๆ ถึงจะแทรกขึ้นมาเป็นตัวหลักได้ อย่างไรก็ตามนี่คือความท้าทายที่รอคอยนักเตะดาวรุ่งเหล่านี้ในวันข้างหน้า เหล่านกน้อยชุดนี้จะทำได้แบบรุ่นพี่เมื่อ 30 ปีที่แล้วได้หรือไม่ เราคงได้แต่รอคำตอบในเวลาอันใกล้.