อเล็กซานเดอร์ “อเล็กซ์” แชปแมน เฟอร์กูสัน (Alexander Chapman Ferguson) เกิดวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เจ้าของฉายาว่า ไดร์เป่าผมพิฆาต, ป๋าแพนด้า และเฟอร์กี้ไทม์ ซึ่งเซอร์อเล็กซ์ถือเป็นบรมกุนซือชาวสกอตต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และฟุตบอลยุคใหม่ โดยการคว้าแชมป์มาครองได้เกือบ 40 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ ลีก 13 สมัย ตลอดการคุมหัวเรือใหญ่อันยาวนานมากว่า 27 ปีให้กับทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน ลืมตาดูโลก ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เป็นลูกชายของ อเล็กซานเดอร์ เบียตัน เฟอร์กูสัน กับ อลิซาเบธ ฮาร์ดี ซึ่งเฟอร์กูสัน เขาเป็นแฟนบอลตัวยงของสโมสรฟุตบอลเรนเจอร์ส ทีมจาก สก็อตติชพรีเมียร์ชิป
ตลอดการค้าแข้ง 16 ปีในฐานะผู้เล่นบนประเทศสกอตแลนด์ เฟอร์กูสัน ค้าแข้งให้กับ 6 สโมสรด้วยกัน ได้แก่ ควีนส์ พาร์ค, เซนต์ จอห์นสโตน, ดันเฟิร์มลิน, กลาสโกว์ เรนเจอร์ส, ฟัลเคิร์ก และอายร์ ยูไนเต็ด โดยสถิติในเกมลีกเจ้าตัวลงเล่นไปทั้งหมด 317 นัด และยิงไป 171 ประตู ตลอดการค้าแข้งตั้งแต่ปี 1957-1973
หลังจากประกาศรีไทร์กับอาชีพนักฟุตบอล ปีต่อมาเฟอร์กูสันก็ได้เข้าสู่งานโค้ชทันที โดยเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมให้กับทีมในบ้านเกิดอย่าง อีสต์ สเตอร์ลิงเชียร์, เซนต์ เมียร์เรน และ อเบอร์ดีน ซึ่งที่สโมสรอเบอร์ดีนเขาได้รับการยอมรับให้เป็นโค้ชระดับท็อป
เขาพาทีมแซง 2 ทีมจากกลาสโกว์ และคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จในลีกสก็อตแลนด์ โดยเป็นแชมป์ สกอตติชพรีเมียร์ชิป(แชมป์ลีก) 3 สมัย, สก็อตติช คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 1 สมัย และยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย หลังจากนั้นเฟอร์กูสันรับหน้าที่เป็นกุนซือทีมชาติสก็อตแลนด์อยู่ 1 ปี ช่วงเวลาที่เจ้าตัวจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หลังจากที่ รอน แอตกินสัน ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 ชายนาม อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ได้เข้ามานั่งเก้าอี้แทนที่ต่อในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดทันที ซึ่งตอนที่เฟอร์กูสันเข้ามาคุมหัวเรือใหญ่ให้แมนยู เขาได้รับทีมที่กำลังจะหมดศรัทธาจากแฟนบอล เนื่องจากทีมมีคะแนนอยู่ใกล้โซนตกชั้น
หน้าที่แรกของเขาก็คือการพาทีมหนีตายจากโซนชั้นให้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เสริมทัพเลยในช่วงเปิดตลาด แต่เฟอร์กูสันก็สามารถพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบอันดับที่ 11 ได้ในฤดูกาลแรกของเขา พร้อมลั่นวาจาจะพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาครองแชมป์ให้ได้
ในฤดูกาลที่ 2 ของเฟอร์กูสัน เจ้าตัวพาแมนยูจบอันดับ 2 ของลีก ตามหลังเพียงคู่อริอย่าง ลิเวอร์พูล แต่การจบอันดับสูงในปีนี้ก็ตามมาด้วยความคาดหวังที่สูงจากทุกฝ่าย และจุดเปลี่ยนก็มาถึงในฤดูกาลถัดมา แม้เฟอร์กูสันจะใช่เงินเสริมทัพมหาศาลเพื่อวางลากฐานใหม่ แต่กลับพาทีมจบในอันดับกลางตารางจนเป็นเหตุให้แฟนบอล กดดันให้ปลดเฟอร์กูสันออกจากตำแหน่งกุนซือ
แต่บอร์ดเข้าใจถึงกระบวนการ และปัญหาที่นักเตะได้รับบาดเจ็บ เฟอร์กูสันจึงได้โอกาสแก้ตัวในการคุมหัวเรือต่อแบบหวุดหวิด และแล้วในฤดูกาล 1989/90 ก้าวเล็กๆ ของบรมกุนซือชาวสกอตต์ก็มาถึง เมื่อเฟอร์กูสันพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ แม้ฤดูกาลนั่นทีมจะจับฉลากให้ออกไปเล่นแต่นอกบ้าน แต่เจ้าตัวก็ไม่ทำให้บอร์ด และแฟนบอลต้องผิดหวังกับความสามารถของเขา
ฤดูกาลต่อมาเฟอร์กูสันพาทีมคว้าแชมป์รายการต่างๆ อย่างไม่ขาดมือ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่สามารถเอาชนะบาร์เซโลน่า 2-1 และในฤดูกาล 1991/92 ถัดมาอีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์ลีก คัพ มาเพิ่มอีก ซึ่งเวลานี้เริ่มเข้าใกล้ประถมมาบทความยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อ อเล็กซานเดอร์ แชปแมน เฟอร์กูสัน แล้ว
ในฤดูกาล 1992/93 ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากชื่อดิวิชั่นหนึ่ง มาเป็นพรีเมียร์ลีก การรอคอยอันยาวนานกว่า 26 ปีที่ต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของลิเวอร์พูลก็สิ้นสุดลง ทีมปีศาจแดงสามารถเบียดแอสตัน วิลล่า เถลิงบัลลังก์แชมป์ลีกใบแรกมาครองในชื่อพรีเมียร์ลีกทันที ซึ่งฤดูกาลนั่นเฟอร์กูสันได้ดึงราชาอย่าง เอริค คันโตน่า มาร่วมทัพด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ ถือเป็นดิลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะกุนซือ
หลังฤดูกาลนั้นแชมป์ก็ตามมาอย่างไม่ขาดสาย ในฤดูกาล 1993/94 และ 1995/96 ทีมสามารถทำดับเบิ้ลแชมป์ได้ถึงสองปีติด จากฝีเท้าของเหล่าเด็กรุ่น 92 และก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเพิ่มได้อีกในฤดูกาล 1996/97 ถึงตรงนี้เฟอร์กูสันได้พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาผงาด ขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ได้สำเร็จตามคำที่เขาได้ลั่นวาจาไว้
ฤดูกาล 1998/99 เฟอร์กูสัน พาทีมครองดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกหนึ่งปีตามคาด แต่เรื่องที่แฟนบอลทั่วทั้งโลกต้องจดจำกำลังจะเกิดขึ้น ในค่ำคืนที่สนามคัมป์ นู รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก เขาสามารถทำสิ่งนั้นสำเร็จ ด้วยการตัดสินใจส่งตัวสำรองอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ลงสนามมาช่วยกันยิงประตูให้ทีมพลิกกลับมาคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จ หลังจากการรอคอยอันยาวนานกว่า 31 ปี
ถือเป็นการเติมเต็มการคว้า 3 แชมป์โดยสมบูรณ์ โดยหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษยังไม่มีทีมใดที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ได้มาก่อน เฟอร์กูสันจึงได้รับยศอัศวินหลังจากความสำเร็จครั้งนั้น ซึ่งสื่อและแฟนบอลบางคนก็เริ่มมองแล้วว่าเขากำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งหัวเรือ โดยเชื่อว่าเขาคงกำลังจะหมดไฟในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดแล้ว
แต่มันไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด เพราะฤดูกาลต่อมา 1999/20 ชายนามเซอร์ อเล็กซ์ก็ยังคงพาทีมคว้าแชมป์ลีก และถัดมาในฤดูกาล 2000/01 ก็ยังครองอับดับ 1 อยู่อีกปี ทำให้เวลานี้ทีมเป็นแชมป์ลีก 3 ปีติด จนถึงตอนนี้เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาแล้วถึง 7 สมัย และในฤดูกาล 2002/03 ท่านเซอร์ก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้อีกปี พร้อมการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ควบคู่ทำให้ตอนนี้ทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในยุคป๋าสมัยที่ 5 แล้ว
ซึ่งถึงตรงนี้ก็ผ่านมาแล้ว 16 ปี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังคงพาทีมครองความยิ่งใหญ่อยู่ตลอดการคุมทัพ แต่เมื่อกาลเวลาเดินหน้านักเตะก็ต้องมีอายุมากขึ้น เหล่าบรรดาลูกคู่กายก็ต้องแยกจากไป ถือเป็นการหมดยุคเก่านักเตะที่ท่านเซอร์สร้างขึ้น เขาก็เริ่มมองหาเพชรเม็ดใหม่นั้นก็คือ เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาสู่ความสำเร็จในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ในฤดูกาล 2005/06 ทีมชุดใหม่ก็เริ่มประเดิมการคว้าแชมป์ลีก คัพ จากนั้นถัดมาในฤดูกาล 2006/07 อีกปีก็ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 9 และในฤดูกาล 2007/08 ทีมปีศาจแดงในการคุมทัพของท่านเซอร์ ก็ยังคงป้องกันแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้อีกสมัย แถมซีซั่นนั้นยังพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ แต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่การคว้าแชมป์ลีกควบคู่กับเอฟเอ คัพ แต่เป็นการคว้าแชมป์ลีกควบคู่กับยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ณ ลุซนิกิ สเตเดี้ยม กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยการดวลจุดโทษเอาชนะเชลซีนัดชิงชนะเลิศ
ต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงประสบความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์สโมสรโลกในเดือนธันวาคม 2008 จากนั้นทีมปีศาจแดงก็คว้าแชมป์ลีก คัพ ได้อีกในเดือนมีนาคม 2009 โดยเอาชนะท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ โดยการดวลลูกโทษในรอบชิงชนะเลิศ
สิ้นสุดฤดูกาล 2008/09 ท่านเซอร์พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกได้สมัยที่ 11 พร้อมทั้งทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้ลุล่วง หลังจากที่ท่านเซอร์ ก้าวเข้ามาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดเมื่อปี 1986 เขาตั้งใจจะทาบสถิติแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัยของลิเวอร์พูล และก็ถือว่าภารกิจนั้นได้ลุล่วงแล้วตลอดการคุมทีมอันยาวนานกว่า 22 ฤดูกาล
ต่อมาในฤดูกาลในปี 2009/10 ท่านเซอร์ทำได้เพียงพาทีมคว้าแชมป์รายการเดียวคือลีก คัพ ซึ่งก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวหวังไว้ แต่และแล้วฤดูกาล 2010/11 สิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะชายนามว่า เซอร์ อเล็กซ์ ได้พาทีมแซงหน้าสถิติแชมป์ลีกสูงสุดของลิเวอร์พูลได้สำเร็จ โดยการคว้าแชมป์ลีกเหนือเชลซี
ผ่านมาอีก 1 ปีในฤดูกาล 2011/12 ในวันสุดท้ายของซีซั่นนั้นถือเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจทุกคนที่รักในสโมสร เมื่อคู่แค้นร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดันยิงประตูชนะลูกได้เสียคว้าแชมป์ลีกได้ในวินาทีสุดท้ายของฤดูกาล ทำให้ฤดูกาลนั้นแมนยูต้องพลาดแชมป์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย
วันสุดท้ายในฐานะกุนซือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
และแล้วประถมมาบทความยิ่งใหญ่อันยาวนานกว่า 27 ปีของบรมกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในฐานะหัวเรือใหญ่ก็มาถึงหน้าสุดท้าย ฤดูกาล 2012/13 เป็นซีซั่นสุดท้ายสำหรับท่านเซอร์ และเขาก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังอีกตามเคย เมื่อเจ้าตัวพาทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ไปครองในขณะที่ยังเหลือเกมให้ลงเล่นอีก 4 เกม นั้นถือเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ชายคนหนึ่งจะให้กับสโมสรที่เขารัก
ปัจจุบัน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถูกยกย่องให้เปรียบเหมือนศาสดาแห่งวงการฟุตบอล แด่เหล่ากุนซือ และนักฟุตบอลรุ่นเก่ารุ่นใหม่ แถมยังเป็นทั้งแรงบันดาลใจ และเป็นปณิธานให้ทุกคนสืบทอดการใช้ชีวิตต่อไป